-->

🚚จัดส่งฟรี !! เมื่อซื้อสินค้าครบ ฿1000 ขึ้นไป‼🚚

พิเศษ สั่งซื้อสินค้า ฿5000 ขึ้นไป สามารถ ผ่อนชำระบัตรเครดิต
สูงสุด 0% | 10 เดือน !!!

สั่งของได้ ส่งของได้ตามปกติค่ะ ^^

คะน้าโตไว ขายได้จริง ทำตลาดยังไงให้กำไร

คะน้าเป็นผักใบเขียวที่อยู่คู่กับอาหารไทยและอาหารเอเชียตะวันออกมาอย่างยาวนาน ไม่ว่าจะเป็นเมนูยอดนิยมอย่าง คะน้าผัดน้ำมันหอย คะน้าหมูกรอบ หรือแกงจืดคะน้าเต้าหู้ จึงทำให้คะน้าเป็นหนึ่งในผักที่ตลาดต้องการสูงตลอดทั้งปี ทั้งตลาดสด ร้านอาหาร ภัตตาคาร ไปจนถึงซูเปอร์มาร์เก็ต

จุดแข็งของคะน้า คือปลูกง่าย โตไว และให้ผลผลิตเร็วภายใน 45–55 วัน อีกทั้งยังสามารถปลูกได้ตลอดทั้งปีในทุกภูมิภาคของประเทศไทย หากวางแผนการปลูกและการตลาดให้ดี เกษตรกรสามารถทำให้คะน้าเป็นพืชเศรษฐกิจที่สร้างรายได้และกำไรที่มั่นคงได้จริง

การเลือกพันธุ์คะน้าและการเตรียมดิน

การเลือกพันธุ์คะน้าและการเตรียมดิน

พันธุ์คะน้าที่ปลูกกันมากคือคะน้าใบ คะน้ายอด และคะน้าฮ่องกง ซึ่งแต่ละพันธุ์ตอบโจทย์ตลาดต่างกัน คะน้าใบขายง่ายที่สุดในตลาดทั่วไปเพราะปลูกง่ายและมีผู้บริโภคจำนวนมาก ส่วนคะน้ายอดและคะน้าฮ่องกงมักถูกเลือกโดยร้านอาหารจีนหรือห้างค้าปลีกที่ต้องการผักคุณภาพสูงและยอมจ่ายแพงกว่า

ดินที่เหมาะกับคะน้าคือดินร่วนหรือดินร่วนปนทรายซึ่งระบายน้ำได้ดี ก่อนปลูกควรพรวนดินลึกประมาณ 20 เซนติเมตร กำจัดวัชพืชและเศษหญ้าออก แล้วตากดินไว้ประมาณหนึ่งสัปดาห์เพื่อฆ่าเชื้อโรคในดิน การยกร่องปลูกกว้างประมาณ 1 เมตรจะช่วยให้ดูแลง่ายและระบายน้ำได้ดี ที่สำคัญควรใส่ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมักคลุกเคล้าในดินเพื่อเพิ่มอินทรียวัตถุ ทำให้ต้นคะน้าเจริญเติบโตได้เร็วและแข็งแรง

การเพาะกล้าและย้ายปลูก

เมล็ดคะน้าสามารถเพาะได้ทั้งในถาดเพาะและในแปลงโดยตรง แต่สำหรับการปลูกเชิงการค้า แนะนำให้เพาะกล้าในถาดเพาะก่อน เพื่อให้ได้ต้นกล้าที่แข็งแรงและย้ายปลูกได้สะดวก หลังหยอดเมล็ดควรกลบดินบาง ๆ และรดน้ำสม่ำเสมอ เมื่อกล้ามีอายุประมาณ 15–20 วันและมีใบจริง 3–4 ใบจึงพร้อมย้ายลงแปลง ระยะปลูกขึ้นอยู่กับพันธุ์ หากเป็นคะน้าใบใช้ระยะ 20×25 เซนติเมตร แต่ถ้าเป็นคะน้ายอดหรือคะน้าฮ่องกงที่ลำต้นใหญ่ควรใช้ระยะห่างประมาณ 25×30 เซนติเมตร เพื่อให้ต้นมีพื้นที่เจริญเติบโตเต็มที่

การดูแลและเร่งการเจริญเติบโต

คะน้าเป็นพืชที่ต้องการน้ำค่อนข้างมากในช่วงต้นกล้า การให้น้ำเช้าและเย็นจะช่วยให้ต้นตั้งตัวเร็วและแตกใบเขียวสวย แต่ควรหลีกเลี่ยงน้ำขังเพราะอาจทำให้รากเน่า การใส่ปุ๋ยอินทรีย์หรือน้ำหมักชีวภาพทุก 7–10 วันจะช่วยเร่งการเจริญเติบโตให้ต้นอวบ ใบกรอบ และมีสีเขียวเข้มตามที่ตลาดต้องการ

ในเรื่องศัตรูพืช คะน้ามักเจอปัญหาหนอนใยผัก เพลี้ยอ่อน และราน้ำค้าง วิธีจัดการที่ปลอดภัยและได้ผลคือการฉีดพ่นน้ำหมักสะเดาหรือใช้ชีวภัณฑ์ เช่น เชื้อบีทีและเชื้อไตรโคเดอร์มา ซึ่งช่วยลดความเสียหายโดยไม่ทิ้งสารตกค้าง

การเก็บเกี่ยวและการจัดการผลผลิต

การเก็บเกี่ยวและการจัดการผลผลิต

คะน้าใบสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่ออายุ 45–50 วัน โดยสังเกตจากต้นที่สูงประมาณ 25–30 เซนติเมตร ส่วนคะน้ายอดสามารถเริ่มเก็บยอดอ่อนตั้งแต่อายุ 40–45 วัน และสามารถเก็บยอดได้ต่อเนื่องทุก 7–10 วัน การเก็บเกี่ยวที่เหมาะสมคือช่วงเช้า เพราะผักจะสดนานและคงความกรอบได้นานกว่า หากต้องส่งตลาดไกลควรล้างและบรรจุอย่างถูกวิธี เช่น มัดเป็นกำ หรือใส่ถุงพลาสติกใสที่เจาะรูระบายอากาศ เพื่อให้ผักคงสภาพสดใหม่

ต้นทุนและผลกำไรจากการปลูกคะน้า

ต้นทุนเฉลี่ยของการปลูกคะน้า 1 ไร่ ประกอบด้วยค่าเมล็ดพันธุ์ประมาณ 200 บาท ปุ๋ยคอกหรือปุ๋ยหมัก 1,000–1,200 บาท และค่าแรงงานราว 1,500 บาท รวมทั้งหมดประมาณ 3,000–4,000 บาทต่อรอบการปลูก ผลผลิตเฉลี่ยที่ได้อยู่ที่ 1,200–1,500 กิโลกรัมต่อไร่ หากขายกิโลกรัมละ 25 บาท รายได้รวมประมาณ 30,000–35,000 บาท เมื่อหักต้นทุนแล้วเกษตรกรสามารถมีกำไรสุทธิประมาณ 25,000–30,000 บาทต่อรอบ หรือคิดเป็นกำไรเฉลี่ยเดือนละเกือบ 15,000 บาท ถือได้ว่าเป็นพืชที่ให้ผลตอบแทนสูงเมื่อเทียบกับเวลาและแรงงานที่ใช้

ทำตลาดคะน้าให้ได้กำไร

ทำตลาดคะน้าให้ได้กำไร

การทำตลาดคะน้ามีหลายช่องทาง ซึ่งแต่ละช่องทางมีลักษณะเฉพาะที่ควรพิจารณา ตลาดสดและร้านอาหารเป็นตลาดหลักที่ขายง่าย ได้เงินสด และมีความต้องการสูงทุกวัน ส่วนการขายเข้าห้างหรือซูเปอร์มาร์เก็ตต้องคัดคุณภาพเป็นพิเศษ ผักต้องใบเขียว ไม่ช้ำ ไม่มีร่องรอยแมลง และบรรจุในถุงใสพร้อมฉลากแหล่งผลิต ราคาจะสูงกว่าตลาดสดราว 20–30%

ในยุคปัจจุบัน ช่องทางออนไลน์ก็เป็นโอกาสใหม่ที่เกษตรกรไม่ควรมองข้าม การใช้สื่อสังคมออนไลน์อย่าง Facebook หรือ TikTok เพื่อโปรโมตผักคะน้าปลอดสาร พร้อมบริการส่งตรงถึงบ้าน ช่วยเจาะตลาดคนเมืองที่ต้องการความสะดวกและใส่ใจสุขภาพมากขึ้น นอกจากนี้การเล่าเรื่องราวการปลูก เช่น การใช้ปุ๋ยอินทรีย์หรือการดูแลแบบธรรมชาติ จะช่วยสร้างคุณค่าและความน่าเชื่อถือ ทำให้คะน้าธรรมดามีมูลค่าสูงขึ้น

อีกวิธีที่น่าสนใจคือการเพิ่มมูลค่าผลผลิต เช่น ทำคะน้าลวกพร้อมน้ำจิ้ม แปรรูปเป็นคะน้าดอง หรือจัดเป็น “เซ็ตผักปลอดสาร” ร่วมกับผักอื่น ๆ เพื่อขายในตลาดออนไลน์หรือฟาร์มช็อป กลยุทธ์เหล่านี้ช่วยให้เกษตรกรหลีกเลี่ยงการแข่งขันด้านราคาในตลาดสด และเปลี่ยนไปเน้นขายคุณภาพและแบรนด์แทน

สรุป

คะน้าเป็นผักที่ทั้งปลูกง่าย โตไว และตลาดต้องการสูงอย่างต่อเนื่อง หากเกษตรกรหรือผู้สนใจสามารถวางแผนการปลูกอย่างถูกวิธี ตั้งแต่การเลือกพันธุ์ การเตรียมดิน การบำรุงรักษา ไปจนถึงการเก็บเกี่ยวและบรรจุอย่างได้มาตรฐาน จะสามารถผลิตผักคุณภาพสูงที่ตอบโจทย์ตลาดได้ และเมื่อผสานกับการตลาดที่ชาญฉลาด ทั้งการขายตรง ร้านอาหาร ห้างสรรพสินค้า และตลาดออนไลน์ คะน้าจะไม่ใช่แค่ผักสวนครัวธรรมดา แต่จะเป็น พืชเศรษฐกิจที่สร้างกำไรและความมั่นคงให้กับครอบครัวและชุมชนได้จริง

เอกสุวรรณการเกษตร

ผู้เชี่ยวชาญด้าน เกษตรโรงเรือน อุปกรณ์โรงเรือน พลาสติกโรงเรือน พลาสติกปูบ่อ มานานกว่า 30 ปี
เราได้รับความวางใจโดยเกษตรกรทั่วไทย มามากกว่า 100,000 ราย

สารบัญ