-->

🚚จัดส่งฟรี !! เมื่อซื้อสินค้าครบ ฿1000 ขึ้นไป‼🚚

พิเศษ สั่งซื้อสินค้า ฿5000 ขึ้นไป สามารถ ผ่อนชำระบัตรเครดิต
สูงสุด 0% | 10 เดือน !!!

สั่งของได้ ส่งของได้ตามปกติค่ะ ^^

ทำเกษตรเลี้ยงสัตว์น้ำจากบ่อแบบมีพลาสติกปู ความแตกต่างที่เหนือกว่าการเลี้ยงจากบ่อธรรมชาติ

ทำเกษตรเลี้ยงสัตว์น้ำจากบ่อแบบมีพลาสติกปู ความแตกต่างที่เหนือกว่าการเลี้ยงจากบ่อธรรมชาติ

ยุคนี้การทำเกษตรอย่างเลี้ยงสัตว์น้ำถือเป็นอีกช่องทางดี ๆ ที่ช่วยสร้างรายได้ให้กับเกษตรกรมากขึ้น ปัจจัยหนึ่งอาจมาจากการเลือกทานอาหารของคนไทยและชาวต่างชาติมีความเน้นย้ำไปยังประเภทของวัตถุดิบมากยิ่งขึ้น การทำเกษตรสัตว์น้ำจำพวก ปลาดุกอุย, ปลานิล, ปลาแรด, ปลากะรัง, ปลากะพงขาว และสัตว์น้ำชนิดอื่น ๆ จึงมีราคาที่ดีกว่าเมื่อก่อนเยอะมาก แต่คำถามที่น่าสนใจกว่าคือ หากใครลองสังเกตการทำเกษตรเลี้ยงสัตว์น้ำสมัยใหม่มักจะเลือกใช้บ่อแบบมีพลาสติกปู มากกว่าการเลือกใช้บ่อธรรมชาติ เรื่องนี้มีคำตอบที่ถูกนำเสนอผ่านตัวเลขข้อมูลจริงเพื่อยืนยันว่าการทำเกษตรสัตว์น้ำยุคใหม่ต้องรู้จักนำเอาสิ่งของที่มีอยู่ไปพัฒนาให้เกิดประโยชน์สูงสุด

ความแตกต่างระหว่างบ่อธรรมชาติ VS บ่อแบบมีพลาสติกปู

สำหรับบ่อน้ำธรรมชาติก็คือบ่อดินทั่ว ๆ ไปที่ถูกขุดขึ้นมาง่าย ๆ ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ใด ๆ ทั้งสิ้นในการรองบ่อ จุดเด่นของบ่อประเภทนี้คือไม่ยุ่งยากในการขุด แต่จะมีปัญหาที่จุกจิกตามมาเยอะมาก ๆ เช่น

  • พื้นที่ของบ่อที่จะขุดควรเป็นดินเหนียวหรือดินที่อุ้มน้ำได้ดี ไม่ร่วนซุยจนน้ำซึมออกไปจนหมด
  • ต้องมีการวัดค่า PH ของดิน ระหว่าง 6.5-8.5 ไม่อย่างนั้นสัตว์น้ำที่เลี้ยงไว้ในบ่ออาจมีปัญหาล้มตายได้เป็นจำนวนมาก
  • รวมถึงการเลี้ยงผ่านบ่อธรรมชาติยังต้องคอยดูแลเรื่องปัญหาวัชพืช
  • ต้องใกล้แหล่งน้ำเพื่อให้การถ่ายเทน้ำเข้า-น้ำออกเป็นเรื่องสะดวกขึ้น

ส่วนบ่อแบบมีพลาสติกปูก็คือ การที่เกษตรกรขุดบ่อขึ้นมา หรือบางคนอาจใช้การการสร้างบ่อปูนซีเมนต์ก็ได้ จากนั้นนำเอา พลาสติกปูบ่อ คุณภาพดีไปปูทับลงไปอีกรอบเท่านี้ก็ช่วยให้บ่อน้ำเลี้ยงสัตว์ดูดีขึ้นมาอีกหลายเท่าตัว โดย พลาสติกปูบ่อ ที่ว่านี้ต้องเลือกแบบคุณภาพสูง เป็นพลาสติกเกรด A ได้ยิ่งดีมาก ๆ เพราะนอกจากเนื้อพลาสติกจะหนาแล้วยังมีมีสารพิษที่เป็นอันตรายกับสัตว์น้ำอีกด้วย (ซึ่งตรงนี้แน่นอนว่าส่งผลมาถึงคนที่เป็นผู้บริโภคด่านสุดท้าย) และความโดดเด่นของการเลือกใช้บ่อแบบมีพลาสติกปูก็คือ

  • น้ำจะไม่ซึมออกไปจากบ่ออย่างแน่นอนเพราะมีการกักเก็บเอาไว้ด้วยพลาสติกเป็นอย่างดี
  • ไม่มีกลิ่นดินหรือไม่เกิดแผลกรณีใช้ปูกับบ่อปูน
  • สามารถเปลี่ยนถ่ายน้ำทิ้งและนำน้ำใหม่เข้ามาง่ายกว่าเพียงแค่สูบเข้า สูบออกเท่านั้น ไม่ต้องห่วงเรื่องสิ่งสกปรก
  • ไม่ต้องวัดค่า PH ของดินให้ยุ่งยาก หรือต้องเลือกดินเหนียว ดินที่เก็บน้ำได้ดี เพื่อให้น้ำในบ่อไม่ซึมออกไป
  • กรณีเลิกใช้งานบ่อน้ำหรือช่วงเปลี่ยนผ่านต้องการทำเกษตรแบบอื่น ๆ แค่เก็บพลาสติกก็สามารถเปลี่ยนแปลงพื้นที่ได้อย่างรวดเร็ว

หากเลือกใช้บ่อแบบมีพลาสติกปู จะช่วยให้การเลี้ยงสัตว์น้ำดีขึ้นอย่างไรบ้าง

เมื่อเห็นความแตกต่างรวมถึงจุดเด่นของบ่อธรรมชาติกับบ่อแบบมีพลาสติกปูไปเรียบร้อยแล้ว คราวนี้จะลองมาดูกันว่าหากเลือกใช้บ่อมีพลาสติกปูจะช่วยให้การเลี้ยงสัตว์น้ำของเกษตรกรดีขึ้นได้อย่างไรบ้าง รวมถึงยังมีการนำเสนอเป็นตัวเลขสถิติเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้จริงจากการใช้งานจริง ๆ

  • สัตว์น้ำมีคุณภาพดีกว่าการเลี้ยงบ่อธรรมชาติอย่างเห็นได้ชัด ยกตัวอย่างง่าย ๆ กรณีเลี้ยงในบ่อดินเมื่อจับขึ้นมาจะรู้สึกว่าสัตว์มีกลิ่นดิน ทำให้ราคาที่จะไปขายถูกลง ยิ่งถ้าใครเลี้ยงในบ่อปูนราคาก็อาจถูกมากกว่าเดิมอีกหากปลาตัวไหนดันว่ายไปชนหรือขูดเข้ากับปูนจนเกิดเป็นบาดแผลขึ้นมา แต่ถ้าหากเลือกเลี้ยงในบ่อแบบมีพลาสติกปู โอกาสที่จะเกิดปัญหาทั้ง 2 อย่างยังไงก็ไม่มีแน่
  • มีสถิติบ่งบอกว่าการเลือกใช้บ่อแบบมีพลาสติกปูจะให้ผลผลิตที่สูงกว่าบ่อธรรมชาติทั่ว ๆ ไปถึง 36.8% ส่วนหนึ่งมาจากกรณีที่ใช้บ่อดินแล้วไม่มีการวัดค่า PH ให้เหมาะสมกับสัตว์น้ำที่เลี้ยง โอกาสพวกมันจะตายหรือเจริญเติบโตไม่เต็มที่ก็มีมากกว่านั่นเอง แถมจากสถิติดังกล่าวยังระบุได้ด้วยว่าโอกาสรอดของสัตว์น้ำที่เลี้ยงในบ่อแบบมีพลาสติกสูงระหว่าง 80-90% เลยทีเดียว

ยกตัวอย่างจริงจากสถิติดังกล่าว เกษตรกรเลือกเลี้ยงปลาดุกในบ่อแบบมีพลาสติกปู ใช้ขนาดบ่อกว้าง 2 ม. ยาว 4 ม. (ถือว่าเป็นบ่อเล็ก) เลือกพันธุ์ปลาดุกขนาดยาวระหว่าง 5-7 ซม. ราว 500 ตัว เลี้ยงประมาณ 3 เดือน มีต้นทุนทั้งการทำบ่อ, ให้อาหารตลอด 3 เดือน, พันธุ์ปลา รวม ๆ แล้วไม่เกิน 1,500 บาท เมื่อผ่านไป 3 เดือน จะได้ปลาน้ำหนัก 100-200 กรัม ต่อตัว ขายได้กิโลกรัมละ 40 บาท อัตราการรอดคือ 450 ตัว ประมาณ 90%) คราวนี้เมื่อลองนำมาคำนวณ ปลา 5 ตัว จะได้ 1 กิโลกรัม ดังนั้น 450 ตัว ก็จะได้ราว ๆ 70-90 กิโลกรัม (คิดแบบเข้าใจง่าย) เมื่อรวมเข้ากับราคาขายกิโลกรัมละ 40 บาท (90 x 40 = 36,000 บาท) ซึ่งถ้าเลี้ยงหลาย ๆ บ่อ ต้นทุนก็ถูกลงกำไรจะคุ้มค่ามากกว่านี้เยอะขึ้นอีก

จากตัวอย่างนี้คงมองเห็นผลกำไรที่ดีขึ้นทันตาเมื่อเลือกเลี้ยงสัตว์น้ำจากบ่อแบบมีพลาสติกปู หากใครต้องการ พลาสติกปูบ่อ คุณภาพดี ราคาประหยัด หรือมีคำถาม ข้อสงสัย ในการทำเกษตรด้านนี้ ลองติดต่อเข้ามาที่ Line : @eksuwan2001 หรือทาง Facebook : เอกสุวรรณเกษตร(2001) ทางเราจะมีเจ้าหน้าที่คอยให้คำปรึกษาพร้อมแนะนำความช่วยเหลือที่ดีที่สุดสำหรับคุณ