เอบิว หรือ อะบิว (Abiu) เป็นไม้ผลเขตร้อนที่มีถิ่นกำเนิดจากทวีปอเมริกาใต้ โดยเฉพาะในเขตป่าฝนอเมซอน เช่น บราซิล เปรู และโคลอมเบีย ต่อมาได้มีการพัฒนาสายพันธุ์ในไต้หวันจนได้พันธุ์ที่มีลักษณะเด่น ทั้งรสชาติ เนื้อผล และการเจริญเติบโต ทำให้สามารถปลูกในประเทศเขตร้อนได้ดี รวมถึงประเทศไทย เอบิวเป็นผลไม้ที่กำลังได้รับความนิยมในหมู่เกษตรกรและผู้บริโภคที่มองหาผลไม้แปลกใหม่ ปลูกง่าย และมีศักยภาพทางการตลาดสูง

ลักษณะของผลและรสชาติ
ผลของเอบิวมีลักษณะทรงกลมถึงรี หรือบางพันธุ์อาจมีก้นแหลม เมื่อผลสุก เปลือกจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง ผิวเรียบมัน เนื้อในมีสีขาวขุ่นถึงขาวใส มีลักษณะคล้ายเยลลี่นิ่ม เมื่อรับประทานจะให้รสสัมผัสนุ่มละมุน หวานหอมแบบละไม รสชาติของเอบิวถูกเปรียบว่าเป็นการรวมกันของมะม่วงน้ำดอกไม้สุก มังคุด ลูกตาล และคัสตาร์ด เนื้อแน่น ไม่เละ และมีกลิ่นหอมเฉพาะตัว แนะนำให้นำแช่เย็นก่อนรับประทานเพื่อให้รสชาติสดชื่น เหมาะกับอากาศร้อน
คุณค่าทางโภชนาการ
เอบิวยังอุดมไปด้วยคุณค่าทางโภชนาการ ได้แก่ วิตามินเอในปริมาณสูง ช่วยบำรุงสายตาและป้องกันโรคจอประสาทตาเสื่อม มีเบตาแคโรทีนเป็นสารต้านอนุมูลอิสระที่ช่วยลดความเสี่ยงของโรคเรื้อรัง วิตามินซีช่วยเสริมภูมิคุ้มกัน ลดการอักเสบ วิตามินบี 3 หรือไนอาซินช่วยกระตุ้นระบบเผาผลาญของร่างกาย ทั้งคาร์โบไฮเดรต ไขมัน และโปรตีน อีกทั้งยังมีใยอาหารสูง ช่วยในการขับถ่าย และมีแคลอรีต่ำ เหมาะสำหรับผู้รักสุขภาพโดยเฉพาะผู้สูงอายุและผู้ที่ควบคุมน้ำหนัก
สายพันธุ์และการขยายพันธุ์

ประเทศไทยสามารถปลูกเอบิวได้ดี เนื่องจากมีภูมิอากาศร้อนชื้น โดยเอบิวสามารถขยายพันธุ์ได้หลายวิธี ได้แก่ การเพาะเมล็ด ตอนกิ่ง เสียบยอด และทาบกิ่ง วิธีการเพาะเมล็ดจะให้ต้นที่แข็งแรง โตไว ทรงพุ่มสวย แต่ต้องใช้เวลานานกว่าจะติดผล ส่วนการเสียบยอดและทาบกิ่งจะได้ต้นที่ให้ผลเร็วและรักษาคุณสมบัติของสายพันธุ์ได้แม่นยำมากกว่า
สายพันธุ์ยอดนิยมในไทย
สายพันธุ์ที่นิยมปลูกในไทยมีสองสายพันธุ์หลัก ได้แก่ สายพันธุ์จากไต้หวันและเวียดนาม โดยสายพันธุ์จากไต้หวันเป็นที่นิยมกว่า เนื่องจากผลมีขนาดใหญ่ น้ำหนัก 300–600 กรัมต่อผล รสชาติหวาน เนื้อแน่น เปลือกบาง และมีน้ำยางน้อย เหมาะสำหรับบริโภคสดและจำหน่าย ส่วนสายพันธุ์จากเวียดนามผลจะมีทรงยาว รสหวานน้อยกว่า มีกลิ่นคาวอ่อน ๆ และมีน้ำยางมากกว่า จึงไม่นิยมปลูกเพื่อการค้า
วิธีการปลูกและดูแลรักษา
เอบิวเป็นไม้ผลที่ปลูกง่าย โตเร็ว สามารถปลูกได้ทั้งในกระถางและลงแปลงปลูก ชอบดินร่วนที่ระบายน้ำดี และแสงแดดจัดตลอดวัน หากปลูกในกระถางควรใช้กระถางขนาดใหญ่ 18 นิ้วขึ้นไป เพื่อให้รากเติบโตได้เต็มที่ การปลูกลงแปลงควรเว้นระยะห่างระหว่างต้นอย่างน้อย 4×4 เมตร เพื่อให้ต้นมีพื้นที่แผ่ทรงพุ่มได้เต็มที่ ปีแรกควรใช้ผ้าพรางแสง (ซาแรน) ช่วยให้ต้นไม่ถูกแดดจัดจนเกินไป และเมื่อเริ่มตั้งตัวได้ดีควรถอดซาแรนออก หมั่นตัดแต่งทรงพุ่มเพื่อระบายอากาศและควบคุมความสูงไม่ให้เกิน 3 เมตร เพื่อให้ง่ายต่อการดูแลและเก็บผลผลิต
การให้ปุ๋ยและการให้น้ำ
ในปีแรกเน้นการบำรุงต้นด้วยปุ๋ยคอกมูลวัว เดือนละ 1 ครั้ง ประมาณ 10 กิโลกรัมต่อต้น ผสมกับการให้จุลินทรีย์สังเคราะห์แสงทุก 2 สัปดาห์ พ่นปุ๋ยน้ำหมักปลาทุกเดือน พอเข้าสู่ปีที่สอง เมื่อเริ่มมีดอกให้เปลี่ยนมาใช้ปุ๋ยสูตรเร่งดอก 8-24-24 เดือนละ 1 ครั้ง สลับกับปุ๋ยคอก และพ่นแคลเซียม-โบรอนทุก 10–15 วัน เพื่อบำรุงดอกให้ติดผลดี การให้น้ำควรให้อย่างสม่ำเสมอ วันละ 2 ครั้ง เช้า–เย็น โดยเฉพาะช่วงแล้งหรือช่วงติดผล เพื่อไม่ให้ผลหล่นก่อนกำหนด
การเก็บเกี่ยวและการจัดจำหน่าย

เอบิวสามารถเก็บเกี่ยวได้เมื่อผลเปลี่ยนเป็นสีเหลืองทอง โดยอาจเหลือสีเขียวไว้เล็กน้อยเพื่อป้องกันไม่ให้ผลช้ำ การห่อผลด้วยถุงตาข่ายหรือถุงตาขาวตั้งแต่ผลเริ่มโตจะช่วยลดความเสียหายจากแมลง และช่วยให้ผลมีผิวสวย เมื่อเก็บผลแล้วควรบรรจุในตาข่ายโฟม 2 ชั้น และบรรจุในกล่องที่มีวัสดุกันกระแทกหากต้องการจัดส่งทางไกล ป้องกันการช้ำเสียหาย เอบิวเหมาะรับประทานแบบสด ไม่ควรแปรรูป เพราะจะสูญเสียรสชาติและกลิ่นเฉพาะตัว
วิธีรับประทานเอบิว
สามารถผ่าผลรับประทานได้ 2 วิธี คือ ผ่าตามขวางแล้วใช้ช้อนตักรับประทานเหมือนพุดดิ้ง หรือผ่าตามยาวคล้ายการหั่นแตงโม เพื่อเสิร์ฟแบบแบ่งชิ้น เนื่องจากเนื้อผลมีลักษณะนิ่มคล้ายวุ้นจึงควรรับประทานทันทีหลังผ่า เพื่อรสชาติที่ดีที่สุด
สรุป
เอบิวเป็นไม้ผลที่มีศักยภาพสูง เหมาะสำหรับทั้งปลูกเพื่อบริโภคในครัวเรือนและปลูกเชิงพาณิชย์ เนื่องจากให้ผลผลิตเร็วภายใน 2 ปี ปลูกง่าย โตไว ใช้พื้นที่ไม่มาก และยังมีรสชาติเป็นเอกลักษณ์ เป็นที่สนใจของผู้บริโภคสมัยใหม่ จึงมีแนวโน้มสร้างรายได้ในตลาดผลไม้พรีเมียม หากคุณกำลังมองหาผลไม้แปลกใหม่เพื่อเพิ่มมูลค่าการเกษตรในที่ดินของคุณ เอบิวคือตัวเลือกที่น่าลองอย่างแท้จริง