การเลือก พลาสติกโรงเรือน ถือเป็นหัวใจของการทำเกษตรสมัยใหม่ โรงเรือนที่คลุมด้วยพลาสติกที่ถูกต้องจะช่วยควบคุมแสง อุณหภูมิ และความชื้น ทำให้พืชเจริญเติบโตได้อย่างสม่ำเสมอ หากเลือกไม่เหมาะสมอาจทำให้พืชใบไหม้ ขาดแสง หรือเสี่ยงโรคพืชได้ง่าย ดังนั้นเกษตรกรควรเข้าใจทั้งชนิดของพลาสติก คุณสมบัติที่แตกต่าง และวิธีการเลือกให้สอดคล้องกับสภาพอากาศและชนิดพืช
ประเภทของพลาสติกโรงเรือนที่นิยมใช้
พลาสติกโรงเรือนใส

พลาสติกใสเป็นแบบที่พบมากที่สุด เนื่องจากมีความสามารถในการส่งผ่านแสงสูงเกือบ 90% เหมาะกับผักใบเขียวและพืชที่ต้องการแสงมาก เช่น ผักสลัดหรือคะน้า จุดเด่นคือช่วยให้พืชโตเร็ว แต่หากอยู่ในพื้นที่อากาศร้อนจัดอาจเกิดปัญหาความร้อนสะสมจนพืชเครียดได้
พลาสติกโรงเรือนแบบกระจายแสง
พลาสติกชนิดนี้ทำให้แสงที่ผ่านเข้ามาในโรงเรือนกระจายทั่ว ลดการเกิดเงาและช่วยให้ทุกส่วนของพืชได้รับแสงอย่างสม่ำเสมอ จึงเหมาะสำหรับไม้ดอกและไม้ประดับ เช่น เบญจมาศและกล้วยไม้ การกระจายแสงที่ดีช่วยให้ดอกมีสีสดและรูปทรงสม่ำเสมอมากขึ้น
พลาสติกโรงเรือน UV Protection

พลาสติกที่เคลือบสารป้องกันรังสี UV เช่น พลาสติกโรงเรือน UV 7% ได้รับความนิยมเพราะช่วยยืดอายุการใช้งาน ลดการกรอบแตก และยังลดความเสี่ยงของโรคพืชที่เกิดจากเชื้อรา เหมาะกับพืชที่ปลูกระยะยาว เช่น มะเขือ พริก และแตงกวา
พลาสติกโรงเรือนคุณภาพสูง (Politiv)

สำหรับฟาร์มเชิงการค้า นิยมใช้ พลาสติกโรงเรือน Politiv ซึ่งเป็นพลาสติกนำเข้าคุณภาพสูง จุดเด่นคือการกระจายแสงดีเยี่ยม ความทนทานสูง และอายุการใช้งานมากกว่า 3 ปี แม้จะมีราคาสูงกว่าพลาสติกทั่วไป แต่ถือว่าคุ้มค่ากับการลงทุนระยะยาว โดยเฉพาะในพื้นที่ที่มีลมแรงหรือแดดจัด
การเลือกพลาสติกโรงเรือนให้เหมาะสม

การส่งผ่านแสงและการกระจายแสง
การเลือกควรสอดคล้องกับความต้องการของพืช เช่น ผักใบเขียวต้องการแสงมาก จึงควรเลือกพลาสติกใส ส่วนไม้ดอกควรเลือกแบบกระจายแสงเพื่อป้องกันแสงตรงที่รุนแรงเกินไป
ความหนาของพลาสติก
ความหนามีผลต่ออายุการใช้งาน พลาสติก 100 ไมครอนใช้งานได้ประมาณ 1 ปี เหมาะกับโรงเรือนทดลอง ส่วน 150 ไมครอนอยู่ได้ 1–2 ปี และ 200 ไมครอนใช้ได้ยาวถึง 3 ปี เหมาะกับการลงทุนเชิงพาณิชย์
คุณสมบัติพิเศษ เช่น Anti-drip
คุณสมบัตินี้ช่วยลดหยดน้ำที่กลั่นตัวบนแผ่นพลาสติกในช่วงอากาศเย็น ป้องกันไม่ให้หยดลงบนใบพืช ซึ่งมักทำให้เกิดเชื้อราและโรคพืชในฤดูหนาวหรือพื้นที่ที่มีหมอกจัด
ความกว้างและขนาดที่เหมาะสม
พลาสติกโรงเรือนมีให้เลือกทั้งกว้าง 3 เมตร 4 เมตร หรือสั่งผลิตพิเศษ หากเลือกขนาดที่พอดีจะช่วยลดรอยต่อและทำให้โครงสร้างแข็งแรงขึ้น
การเลือกพลาสติกโรงเรือนตามสภาพอากาศและชนิดพืช

ภาคกลางและภาคอีสานในฤดูร้อนควรเลือกพลาสติกแบบกระจายแสงเพื่อลดความร้อนสะสมและลดความเสี่ยงพืชใบไหม้ ส่วนพื้นที่ภาคเหนือในฤดูหนาวเหมาะกับพลาสติกที่มี Anti-drip เพราะช่วยป้องกันหยดน้ำเกาะใบพืชซึ่งเป็นสาเหตุโรค ขณะที่เกษตรกรในพื้นที่ชายฝั่งทะเลควรใช้พลาสติกหนา เช่น 200 ไมครอน หรือเลือก พลาสติกโรงเรือน Politiv ที่ทนแดดและแรงลมได้ดีกว่า
สำหรับพืชแต่ละชนิด หากเป็นผักใบเขียวควรใช้พลาสติกใสเพื่อเร่งการสังเคราะห์แสง ขณะที่ไม้ดอกเหมาะกับพลาสติกกระจายแสง และพืชผลระยะยาว เช่น มะเขือหรือแตงกวา ควรเลือก พลาสติกโรงเรือน UV 7% เพื่อเพิ่มความทนทานและลดโรคพืช
การติดตั้งและดูแลพลาสติกโรงเรือน

การติดตั้งที่ถูกต้อง
การติดตั้งมีผลอย่างมากต่ออายุการใช้งานของพลาสติก ควรใช้รางล็อคสปริงและสายรัดโรงเรือนเพื่อยึดพลาสติกให้แน่น ลดการฉีกขาดจากแรงลม รวมถึงปรับมุมหลังคาให้ลาดเอียงเหมาะสมเพื่อลดการขังน้ำฝน
การบำรุงรักษา
การล้างทำความสะอาดเป็นประจำช่วยลดการสะสมของฝุ่นและตะไคร่น้ำที่บังแสง รวมถึงการตรวจสอบและเปลี่ยนชิ้นส่วนที่เสื่อม เช่น สปริงล็อคหรือคลิ๊ปล็อคพลาสติก ก็จะช่วยยืดอายุการใช้งานได้
สรุป
การเลือก พลาสติกโรงเรือน ที่เหมาะสมต้องอาศัยการพิจารณาหลายปัจจัย ทั้งชนิดพืช สภาพอากาศ ความหนาของพลาสติก และคุณสมบัติพิเศษ เช่น Anti-drip และการป้องกัน UV หากเลือกได้อย่างเหมาะสม ไม่ว่าจะเป็น พลาสติกโรงเรือน UV 7% ที่ตอบโจทย์เกษตรกรทั่วไป หรือ พลาสติกโรงเรือน Politiv สำหรับการลงทุนระยะยาว โรงเรือนของคุณก็จะควบคุมสภาพแวดล้อมได้มีประสิทธิภาพสูงสุด ทำให้พืชเติบโตแข็งแรงและให้ผลผลิตอย่างต่อเนื่อง